วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยานยนต์

คอลัมน์ : ขับไปคุยไป : ไปขับ ฟอร์ด เฟียสต้า ชนะทีโหล่
ไปขับ ฟอร์ด เฟียสต้า ชนะทีโหล่

รณชิตได้รับชวนจากคุณโป่ง-ชยภัค ลายสุวรรณ น้องรักจาก ฟอร์ด ประเทศไทย ให้เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรม Ford Fiesta Fuel Efficiency Challenge เพื่อร่วมพิสูจน์สมรรถนะ และแข่งขันการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน เส้นทางระหว่าง เชียงใหม่-กรุงเทพฯ โดยขู่มาเสร็จสรรพว่า ถ้าพี่ไม่ไปนะ ผมจะชวนคนอื่น

ช่วงนั้นรณชิตกำลังเดินขาเป๋ เดินลำบากยากเข็น เพราะชอบอดหลับอดนอน โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นผอมแห้งแรงน้อยมาแต่ชาติปางก่อนอยู่แล้ว แต่พอมีคนท้านะ รีบรับปากทันที ก็เลยได้ขี่เรือบินไปเชียงใหม่อีกครั้ง โดยออกเดินทางในช่วงบ่ายคล้อยพองาม เมื่อไปถึงจึงได้เวลาอาหารเย็นพอดี ค่ำนั้นรณชิตได้พบกับผู้บริหารฟอร์ดชาวต่างประเทศหลายท่าน แต่ที่เจ๋งแบบไทยๆ เลยคือ “เฮียฮ็อก” ผู้บริหาร ฟอร์ด อเมริกัน มอเตอร์ส เชียงใหม่ ซึ่งถ้าสร้างเสร็จสมบูรณ์จะมโหฬารครบวงจร นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายฟอร์ดที่เชียงราย และอีกหลายกิจการ รณชิตก็คุยกับท่านจนน้ำลายแตกเป็นฟองฟอด ในฐานะที่เคยรู้จักท่านมานานหลายปี ตั้งแต่เมื่อครั้งนำรถกระบะที่เร็วที่สุดในโลกของฟอร์ด ด้วยเครื่องยนต์ 8 สูบ ซุปเปอร์ชาร์จ 5,000 ซีซี. ไปปิดถนนขับโชว์ที่หน้าโชว์รูมฟอร์ดเชียงรายตั้งแต่สายยันเย็น ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าฟอร์ดเป็นอย่างมาก ชมรถกันใหญ่ แต่ไม่มีใครชมรณชิตที่เป็นคนขับเลย

นอกจากนี้ ยังมีคุณสิงห์-คมสัน ที่คอยเตือนให้ผมกินยาแก้ขาเป๋ทุกวัน คุณหนิง-ปรัชญา รมหุตติฤกษ์ เพื่อนเก่าที่เจริญเติบโตในอาชีพ ไปดูแลพื้นที่การขายฟอร์ด 12 จังหวัดทางภาคเหนือ และอีกหลายท่านในวงการสื่อมวลชนด้วยกัน ก่อนเข้านอนอย่างผาสุขที่ แคนทารี ฮิลส์ แอนด์ เซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ เชียงใหม่ ซึ่งในห้องมีแม้กระทั่งเตาไมโครเวฟ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เตาแก๊ส และหม้อ 2 ใบ!!...โอว์ เกินกำลังจะใช้มันไหว

งานนี้คุณโป่ง ชยภัค จะให้ไปขับ ฟอร์ด เฟียสต้า เห็นบอกว่ามี 10 คัน แต่รณชิตนับดูแล้วมีกองเชียร์ด้วยอีกราว 3 คัน ไม่นับเรนเจอร์ และเอเวอร์เรสต์ โดยรณชิตได้เบอร์ 1 ตามตำนานอยู่แล้ว เป็นรุ่น 5 ประตู 1 ใน 7 คัน ของกิจกรรมครั้งนี้ ที่เหลือเป็นรุ่น 4 ประตูอีก 3 คัน รวมเป็น 10 คัน โดยไม่นับเพื่อนกลองแต๊ก หรือกองเชียร์ในวงดุริยางค์นั่นเอง

งานนี้ก็เป็นการเป็นงานเช่นเคย มีอาจารย์นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิจากบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน เป็นร่วมเป็นสักขีพยานหลายท่าน ซึ่งรณชิตก็คิดว่าดีมาก เนื่องจากชีวิตนี้หากินได้ก็เพราะได้เรียนจบและอาศัยคำว่า Thai-German Institute เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียมาเกือบ 30 ปีแล้ว อยากกราบคำนี้จังเลย

กติกาของท่านอาจารย์โหดมาก เช่น วางยาไว้เสร็จสรรพว่า ห้ามขับความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า 60 กม./ชม.ห้ามแตะตัวรถระหว่างเติมน้ำมัน รถทุกคันต้องชั่งน้ำหนักก่อนแข่ง ทั้งผู้ขับ-ผู้โดยสารและสัมภาระ อนุญาตให้จอดเยี่ยวโดยไม่มีเหตุผลได้ตลอดเส้นทาง แต่ห้ามแอบแกะ ปรับเปลี่ยน หรืออื่นๆ ที่กรรมการล็อกไว้แล้ว คำบางคำเป็นภาษาของรณชิตนะครับ แต่ความหมายเดียวกับกติกาของท่านอาจารย์นั่นแหละ ซึ่งปกติเมื่อสมัยหนุ่ม เวลาแข่งอะไรก็ตาม รวมทั้งแข่งรถ ถ้ากติกาเยอะ รณชิตเลิกแข่งดีกว่า แน่จริงต้องปล่อยให้อัดกันตัวต่อตัวเลย ใครจะมีวิชาอาคมมากกว่า

คันเบอร์ 1 ของรณชิต ใส่ลมยางหน้า 31 ปอนด์/ตารางนิ้ว (psi) ยางหลังแรงดัน 26 ปอนด์/ตารางนิ้ว โดยเติมขณะที่ยางเย็น ซึ่งเป็นไปตามตัวเลขของโรงงานที่แปะไว้ข้างประตู และเป็นไปตามหลักวิชาการจริงที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ไม่เคยคำนึงถึงนั่นเอง รวมทั้งญาติของผมด้วย

รณชิตถูกจับคู่กับสื่อมวลชนรุ่นน้องๆ ที่เคารพนับถือกัน แต่ไม่เคยร่วมขับรถด้วยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต ท่านอาจารย์บอกว่าระยะทางรวมประมาณ 700 กม.เศษ ผมก็ตีเกินไว้คร่าวๆ 720 กม.ความเร็วเฉลี่ยถ้า 60 กม./ชม.นะ ต้องใช้เวลาขับถึง 12 ชม.โดยไม่นับรถติดไฟแดง ห้ามแซง 10 ล้อ ห้ามจอดเยี่ยวตามลำพัง แล้วด่านตำรวจก็เยอะจัง ผ่านด่านทีรณชิตก็บอกตำรวจที ว่า ฟอร์ด เฟียสต้า ป้ายแดงที่กำลังจะตามมาอีกเป็น 10 คัน ของผมทั้งหมดนะ!! ฯลฯ ในฐานะที่ขาเป๋ ไม่สามารถขับเองได้ จึงใช้อาคมคำนวณออกมาพบว่า ต้องซัดไประหว่าง 80-120 กม./ชม.โดยขาขวาต้องชั่งให้เบาเหมือนสำลี เพราะรถสมัยใหม่จะไวต่อแรงฝ่าเท้ามาก กดปุ๊บมาปั๊บ ยกเท้าปั๊บมันตัดน้ำมันปั๊บ

รณชิตวางแผนการขับ โดยไม่ได้ขับจริง หรือแม้แต่ถ้าได้ขับจริงก็ต้องทำอย่างที่ควรคิด คือวางแผนการเดินทางให้ดีเพื่อการประหยัดน้ำมัน เอาอย่างกะทัดรัดนะครับ เมื่อถึงกรุงเทพฯ ก่อนจะถึงจุดสิ้นสุดการแข่งขันราว 300 เมตร รณชิตสั่งให้น้องจอดข้างทาง เพราะเรามาถึงก่อน และจะโชว์พาวด้วย... “ไม่ต้อนห่วน”

สตาร์ทเครื่องนอนกินแอร์เย็นๆ จนหนาวสั่น เพราะวันนั้นฝนตกด้วย จะปรับลงก็ไม่ได้เพราะกติกาเขาห้ามไว้ รอจนมีรถแซงไปแล้ว 2 คัน จึงต้วมเตี้ยมตามเขาไป เพื่อนๆ ทั้งหลายก็เติมน้ำมันและวัดระยะทางกัน ส่วนรณชิตโทรศัพท์สั่งให้เมียขับรถมารับและกลับบ้านนอนเลย โดยไม่ต้องรอฟังผล

ผลการแข่งขันคือ อันดับ 1 ประหยัด 24.002 กม./ลิตร, อันดับ 2 ประหยัด 21.494 กม./ลิตร และอันดับ 3 ประหยัด 21.471 กม./ลิตร ส่วนรณชิต เบอร์ 1 สั่งน้องขับอย่างเดียว เพราะตัวเองขาเป๋ จึงได้ที่โหล่อันดับ 10 อย่างสบายใจ เพราะที่โหล่ของผมนั้นคือ 19.481 กม./ลิตร ด้วยระยะทาง 702.3 กม.นอกจากนี้ยังเหมือนถูกลองอาคม คือก่อนแข่งเป็นรถที่เพิ่งวิ่งมาแค่ 745 กม.ถ้าท่านเชื่อเรื่องรันอินคงจะเข้าใจว่า รถมันยังไม่ไหล ยังฝืด ยังแน่น ยังตั๊บๆ ส่วนคนที่แต้มเหนือกว่าเยอะๆ นั้น อันดับ 1 วิ่งมาแล้ว 8,822 กม.อันดับ 2 วิ่งมาแล้ว 17,327 กม.อันดับ 3 วิ่งมา 14,592 กม.คู่แข่งของรณชิตล้วนแต่กำลังอยู่ในช่วงที่ไหลลื่นดีทั้งนั้น ซึ่งแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าผมชนะในทางปฏิบัติอย่างแน่นอน

ขับเร็วหรือช้าตามสมควรแก่ชีวิตที่ปลอดภัย ทุกคนก็ประหยัดได้ถ้ารถมันดีจริง


credit : บ้านเมือง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น