วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

จอแก้วญี่ปุ่น สู้กับจอแก้วเกาหลีใต้

'โตชิบา-ฮิตาชิ-โซนี่'ร่วมตั้งบริษัท ผลิตจอแอลซีดีแข่งเกาหลีใต้




เอเอฟพีรายงานข่าวที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการผลิตจอแอลซีดีโลก เมื่อ โซนี่ โตชิบา และฮิตาชิ ประกาศขายธุรกิจจอแอลซีดีของตนให้กับกองทุนของรัฐบาล ท่ามกลางการแข่งขันอันเข้มข้นกับคู่แข่งจากเกาหลีใต้และไต้หวัน

โดยแผนกที่แยกออกมาของทั้ง 3 บริษัทจะรวมกันเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ 'เจแปน ดิสเพลย์' เริ่มดำเนินกิจการได้ก่อนกลางปี 2555 และมีอินโนเวชั่น เน็ตเวิร์ก บริษัทที่ได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นถือหุ้น 70% หลังจากลงเงินทุน 2 แสนล้านเยน หรือราว 7.8 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นอีก 30% จะแบ่งกันระหว่าง 3 บริษัทดังกล่าว

ผลจากการผนึกทีมนี้จะนำไปสู่บริษัทผู้ผลิตจอแอลซีดีสำหรับโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่บริษัทจากแดนปลาดิบแข่งขันแย่งตลาดกับซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้และไชเหมย อินโนลักซ์จากไต้หวันในตลาดแอลซีดีสำหรับโทรทัศน์ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า

ทั้งนี้ โซนี่และฮิตาชิไม่มีกำไรในธุรกิจนี้ ส่วนโตชิบาขาดทุนเมื่อปีบัญชีที่แล้ว

ด้านโฮเวิร์ด สติงเกอร์ ซีอีโอของโซนี่ ระบุว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบทางบวกต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตจอแอลซีดีขนาดกลางและขนาดเล็ก อันเนื่องมาจากการขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต

ทางด้านยูอิชิ อิชิดะ นักวิเคราะห์จากมิซูโฮะ อินเวสเตอร์ ซีเคียวริตีส์มองว่า สำหรับบริษัททั้ง 3 แห่งนี้ การลงทุนต่อไปจะกลายเป็นภาระหนักและเป็นการยากที่พวกเขาจะยังคงแข่งขันได้ด้วยตัวเอง นี่อาจจะเป็นแผนการของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นบทบาทของผู้ผลิตจากญี่ปุ่นในตลาดโลก

ขณะที่นายฮารูโอะ ซาโตะ แห่งสำนักวิจัยโตเกียวโตไก วิเคราะห์คล้ายคลึงกับนายอิชิดะ โดยกล่าวว่า ด้วยภาวะเงินเยนแข็งตัวในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องยากที่บริษัทใดจะครองตลาดได้แบบเด็ดขาดแต่เพียงบริษัทเดียว

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจาะตลาด ล่าง กลาง บน สุดๆเลย

ตอกย้ำเทรนด์แรงของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่จะบุกตลาดเกิดใหม่เพื่อการเติบโตในอนาคต ล่าสุดซัมซุง (Samsung) ประกาศแผนเปิดตัวสมาร์ทโฟนราคาประหยัดเพิ่มอีกในงานแสดงเทคโนโลยี IFA ที่จะจัดขึ้นในเยอรมนีช่วงสัปดาห์หน้า เสริมทัพสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy ให้ครอบคลุมทุกตลาดมากกว่าเดิม โดยซัมซุงมั่นใจว่าสมาร์ทโฟนเอื้ออาทรจะขยายตัวครองส่วนแบ่งตลาดผู้เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือเป็น 50% ภายในปี 2015 หรืออีก 4 ปีนับจากนี้      
       สมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่สุดที่ซัมซุงจะเปิดตัวในงานแฟร์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ IFA ที่ประเทศเยอรมนีในวันที่ 30 ส.ค.นี้คือ Galaxy Y ซัมซุงระบุว่า Y นั้นย่อมาจากคำว่า Young เพื่อสะท้อนจุดยืนการเป็นสมาร์ทโฟนสำหรับผู้เริ่มต้นซึ่งสามารถซื้อไปใช้งานในราคาไม่เกินเอื้อมบนคุณสมบัติเครื่องที่ไม่สูงนัก
      
       ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า Galaxy Y พร้อมระบบปฏิบัติการ Android 2.3 Gingerbread หน่วยประมวลผล 832MHz หน้าจอ LCD ทัชสกรีนขนาด 3 นิ้วความละเอียด 320 x 240 กล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รองรับเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง 7.2Mbps HSDPA แบตเตอรีขนาด 1200mAh
      
       แม้จะมีราคาต่ำที่สุด แต่คุณสมบัติโดยรวมของ Galaxy Y นั้นไม่ด้อยกว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นอื่นของซัมซุง โดยมีส่วนติดต่อผู้ใช้ TouchWiz UI และโปรแกรมซึ่งซัมซุงพัฒนาขึ้นเองที่ติดมากับเครื่องเช่นเดียวกันกับรุ่นอื่น แต่จะแตกต่างที่ความละเอียดหน้าจอ
      
       Galaxy นั้นถือเป็นสินค้าเรือธงซึ่งซัมซุงปลุกปั้นขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับสมาร์ทโฟนรายอื่นในตลาด การเปิดตัว Galaxy Y ถือเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับคู่แข่งซัมซุงอย่างแอปเปิล ซึ่งมีข่าวลือว่าจะเปิดตัวไอโฟนราคาประหยัดในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.นี้เช่นกัน
      
       นอกจาก Galaxy Y ซัมซุงจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่มีความสามารถเหนือกว่าเช่น Galaxy M Pro และ Galaxy Y Pro ในงาน IFA ด้วย ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมคีย์บอร์ด qwerty เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ โดยตลาดบนจะเป็นหน้าที่ของ Galaxy W ซึ่งซัมซุงจะส่งมาแจ้งเกิดพร้อมหน้าจอ 3.7 นิ้ว
      
       ข้อมูลล่าสุดระบุว่า Galaxy M-Pro นั้นย่อจาก Magical การันตีว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีราคาซื้อหาได้ มาพร้อมหน้าจอ LCD ขนาด 2.66 นิ้วความละเอียด 480 x 320 หน่วยประมวลผล 1GHz กล้องดิจิตอลด้านหลัง 5 ล้านพิกเซลและด้านหน้า 3 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่ขนาด 1350mAh ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 คาดว่าซัมซุงจะส่งมาลุยตลาดผู้ใช้กลุ่มนักธุรกิจ เนื่องจากจะติดตั้งแอปพลิเคชันจากบริษัทซอฟต์แวร์องค์กรอย่าง Cisco Mobile, Webex, Sybase Afaria และอื่นๆมาจากโรงงาน
      
       ขณะที่ Galaxy W นั้นย่อจากคำว่า Wonder เป็นสมาร์ทโฟนระดับสูงระบบปฏิบัติการ Android 2.3 Gingerbread ซึ่งมีหน่วยประมวลผล 1.4GHz หน้าจอ LCD ขนาด 3.7 นิ้วความละเอียด 800 x 480 รองรับระบบเครือข่ายข้อมูลความเร็วสูง 14.4Mbps HSDPA กล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่จุใจ 1500mAh
      
       คาดว่าน้องใหม่ตระกูล Galaxy ทั้ง 4 รุ่นจะได้รับความสนใจจากตลาด เนื่องจากพี่ใหญ่ในสายอย่าง Galaxy S และ S II ที่ซัมซุงเปิดจำหน่ายมานานกว่า 1 ปี นั้นมียอดขายรวมกันมากกว่า 5 ล้านเครื่องแล้วในขณะนี้
      
       อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่า Galaxy Y จะเคาะราคาจำหน่ายเท่าใด แต่ข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ซัมซุงระบุว่าบริษัทต้องการขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ด้วยเครื่องที่มีราคาไม่ต่ำกว่า 200 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,000 บาท) เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดที่อัตราการใช้งานสมาร์ทโฟนยังต่ำอยู่
      
       ทั้งหมดนี้ ซัมซุงเชื่อว่าสมาร์ทโฟนราคาประหยัดจะมีส่วนแบ่งตลาดเป็น 50% ของกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้นได้ภายในปี 2015 โดยจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีส่วนแบ่งราว 16%
      

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คริสปี้ ครีม บุกอีกรอบเปิดสาขา 2 พร้อมโฉมใหม่เซ็นทรัล ลาดพร้าว

นึกว่าสิ้นฤทธิ์ไปเสียแล้ว เพราะเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี กว่าที่ "คริสปี้ ครีม" แบรนด์โดนัทชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา จะได้ฤกษ์เปิดสาขาที่ 2 ต่อจากสยามพารากอน โดยเลือกเปิดที่ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ชั้น 1 ในวันที่ 28 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เปิดทำการเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว โฉมใหม่ หลังปิดปรับปรุงมาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

กัลย์ บุญวานิช ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท KDN จำกัด บอกว่า คริสปี้ ครีม สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ใช้พื้นที่ไม่เกิน 100 ตารางเมตร มีขนาดเล็กกว่าสาขาสยามพารากอน พร้อมกับเปิด 2 รสชาติใหม่ คือ บลูเบอร์รี่ ชีสเค้กและสตรอเบอร์รี่ ชีสเค้ก

ต้องรอดูว่า ปรากฎการณ์คริสปี้ ครีม ฟีเวอร์ จะกลับมาอีกรอบหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ยังคงใช้กิมมิคในงานแกรนด์ โอเพนนิ่ง เหมือนเดิม โดยมอบสิทธิ์อร่อยฟรี 1 ปี ลูกค้าที่ซื้อโดนัทคนแรก ชนิดใดก็ได้ 1 โหล ในวันเปิดตัวจะได้รับสิทธิ์อร่อยฟรี 1 ปี เป็นต้น แต่เพิ่มกิมมิคซื้อครบ 2 โหล รับฟรี คูปองแลกเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ ดริ๊งค์ของคริสปี้ ครีมขนาด 12 ออนซ์ 1 แก้ว

"เราคาดหวังว่าจะมีการต่อคิวเกิดขึ้ันที่สาขาใหม่นี้" อย่างน้อยๆ ความคาดหวังดังกล่าวก็น่าจะเกิดขึ้นจริงในวันเปิดตัวกับแคมเปญที่พิสูจน์แล้วว่าเรียกลูกค้าได้ดียิ่งกว่ามนต์ขลังใดๆ

ทั้งนี้เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว เป็นหนึ่งในสาขาที่มีทราฟฟิกสูงเป็นลำดับต้นๆ อีกทั้งยังทำรายได้หลักให้กับเซ็นทรัล พัฒนา มาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่คู่แข่งอย่างดังกิ้น โดนัท กำลังระเบิดแคมเปญ Movie Marketing ระดับโลกเป็นครั้งแรกกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง Captain America :The Frist Avenger ซึ่งนอกเหนือจะจำหน่ายแวลู แพค โดนัทและกล่องโดนัทลวดลายพิเศษแล้ว ยังรวมถึงเครื่องดื่มพิเศษอีกด้วย

ตลาดโดนัทมูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท จึงเตรียมกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง เร็วๆนี้

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ดัง

อุษณีย์ มหากิจศิริ “แถวยาวไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จ”
สุรัชฏา สว่างเนตร Positioning Magazine พฤศจิกายน 2553  อุษณีย์ มหากิจศิริ “แถวยาวไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ Krispy Kreme เกิดขึ้นมากมาย หลังจากสาขาแรกในประเทศไทยเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา

มีการคาดเดาจากทั้งบุคคลทั่วไป นักการตลาด และนักวิชาการทั้งหลายว่า Krispy Kreme อาจไปไม่รอด กระแสเข้าคิวทำให้หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับโรตีบอยที่ปิดตัวไปแล้ว บางคนฟันธงลงไปเลยว่า อยู่รอดได้เพียงแค่ไตรมาสเดียวเท่านั้น

POSITIONING มีข้อเท็จจริงจาก อุษณีย์ มหากิจศิริ ผู้นำเข้าแบรนด์ Krispy Kreme ในประเทศไทย ที่ยอมให้สัมภาษณ์แบบ Exclusive ณ สำนักงานใหญ่ของ Krispy Kreme บนชั้น 11 อาคาร CTI และนี่คือคำตอบของเธอต่อข้อซักถามทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Krispy Kreme

ทำไมถึงต้องเป็นแบรนด์ Krispy Kreme

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรียนอยู่ในต่างประเทศที่บอสตัน ซึ่งปกติแล้วไม่ชอบทานโดนัท เพราะถูกเลี้ยงและโตมาในประเทศไทย อาหารฝรั่ง นมเนยจะไม่ได้ติดเท่าไร มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งมาบอกว่าโดนัท Krispy Kreme อร่อยมาก แต่ตัวเองก็เฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร อีกสักพักก็มีเพื่อนกลุ่มที่สองมาบอกอีกว่า โดนัทแบรนด์นี้อร่อยมาก ตอนนั้นก็เริ่มเอะใจว่า เพื่อนสองกลุ่มที่ไม่รู้จักกันแต่พูดเสียงเดียวกัน แต่ยังไม่อยากชิม จนกระทั่งเพื่อนกลุ่มที่สามมาบอกเหมือนเดิมอีก ทำให้เริ่มสงสัยว่าจะเอาต์หรือเปล่า เลยต้องไปหากิน ก็ถามเพื่อนว่าซื้อที่ไหน ทำไมคนถึงพูดเยอะจังเลย เพื่อนก็บอกว่า ต้องไปซื้อที่นิวยอร์ก

ก็เลยฝากเพื่อนที่จะไปนิวยอร์กซื้อให้ พอได้มากล่องหนึ่งได้กินแค่ชิ้นแรก จากวันนั้นถึงวันนี้ก็หลงรัก Krispy Kreme เลย กินตั้งแต่วันแรกจนปัจจุบัน กินกี่ครั้งก็อร่อย เป็นความอร่อยง่ายๆ

แล้วไปซื้อแฟรนไชส์มาได้อย่างไร

พอดี Krispy Kreme มาเปิดสาขาที่ฟิลิปปินส์ สามีตุ๊กเขาพอดีมีธุรกิจ Joint Venture ทางด้านเรือเดินน้ำมันที่ฟิลิปินส์ ก็เลยบอกสามีว่า ถ้าไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ต้องซื้อกลับมาฝาก เขาซื้อมาที 7-8 กล่อง ไปฝากเพื่อน ฝากญาติ ก็บอกสามีว่า รักกันจริงต้องหิ้วมาฝากได้

ปรากฏว่าเมื่อวาเลนไทน์ปีที่แล้ว สามีเลยไปติดต่อ Krispy Kreme จะขอซื้อแฟรนไชส์ มาเซอร์ไพรส์ วันเสาร์ซึ่งเป็นวาเลนไทน์เราก็บินไปเลย ไปพรีเซนต์ตัวเองกับ Krispy Kreme ซึ่งมีคนไทยคนอื่นติดต่อไปเหมือนกัน ไปถึงคนจากทาง Krispy Kreme ก็ให้ทำแผนธุรกิจให้ดูในวันพุธที่จะถึง โดยนายใหญ่จะบินมาดูแผนธุรกิจ ตอนนั้นจะไปจ้างบริษัทให้ทำก็คงไม่ทัน เลยต้องนั่งทำงานกันหัวฟูสองคน โดยให้คนรถ แม่บ้านไปเก็บข้อมูล อย่างเช่น บอกคนรถว่าไปดูสิ มิสเตอร์ โดนัท มีกี่รส ราคาเท่าไร

ตอนที่เขียนแผนธุรกิจ คิดไปถึงทำเล ตั้งราคาขาย คิดคร่าวๆ ไว้แล้ว แต่ราคา 27 บาทได้มาทีหลัง ซึ่งสำหรับตัวเองถือว่าถูก เพราะความรู้สึกที่ได้รับจากโดนัทหนึ่งชิ้นมากกว่าราคานี้เยอะ

ทำไม Krispy Kreme ถึงตัดสินใจเลือกคุณอุษณีย์

เพราะเห็นความตั้งใจ และ Passionของตุ๊ก ไปประชุมแผนธุรกิจ 4-5 รอบ ไม่ว่าบอร์ดบริหาร Krispy Kreme ยิงคำถามอะไรมา ตุ๊กตอบได้เอง เพราะเราเขียนแผนธุรกิจด้วยตัวเอง

ก่อนไปพรีเซนต์แผนธุรกิจนั่งท่องตัวเลข เขาเห็นว่าเราที่เป็นเจ้าของทำเองจริงๆ แต่ท้ายที่สุดตุ๊กก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่น่าจะเป็นตรงนี้ Passion ความรัก และความเข้าใจในตัวแบรนด์ ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งๆ ที่ตัวเอง สามี และคนอื่นในครอบครัวไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ทางด้าน QSR เลย ซึ่งเขาก็บอกตรงๆ ว่านี่เป็นจุดอ่อนของเรา

นามสกุล “มหากิจศิริ” มีส่วนช่วยให้ดีลนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่

ตุ๊กไม่ใช่ลูกสาวบิล เกตส์ เรากำลังเล่นกับธุรกิจระดับโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ที่ดี คอยสั่งสอน สนับสนุนให้เรียนหนังสือ กำลังใจทุกอย่างมาจากคุณพ่อคุณแม่ (ประยุทธ – สุวิมล มหากิจศิริ) ตุ๊กไม่ใช่เก่งกว่าคุณพ่อ ไม่เคยเทียบกับคุณพ่อได้เลย เพราะคุณพ่อเก่งมากอายุ 20 กว่าปีก็สร้างโรงงานกาแฟได้แล้ว แต่ตุ๊กทำได้แค่จบปริญญาโท สายเลือดธุรกิจมีอยู่ เราเห็นตั้งแต่เล็กพ่อแม่ทำงานหนักขนาดไหน เห็นจนเป็นความเคยชิน อย่างเวลาไปร้านอาหาร พ่อจะชอบให้คิดว่า ร้านนี้คนนั่งกี่คน รายได้ต่อหัวประมาณเท่าไร ตั้งแต่เล็กพ่อจะชอบถาม ไหนลองคิดซิรายได้ต่อเดือน ต่อปีของร้านนี้น่าจะมีประมาณเท่าไร เป็นวิธีการสอนอย่างหนึ่ง

เงินลงทุนที่ใช้สูงมากน้อยแค่ไหน

ยอมรับว่าเงินลงทุนสูงมาก ไม่รักคงไม่ทำ ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เริ่มแรกในการใช้แบรนด์นี้ทั้งประเทศ ค่าเครื่องจักรที่ต้องนำเข้ามา ค่าเปิดร้านก็ต้องจ่ายอีก ซึ่งต้องจ่ายในทุกสาขาที่เปิด แต่ละสาขาก็ใช้เงินลงทุนหลายสิบล้านบาท

ตัววัตถุดิบก็แพง แป้ง ซึ่งเป็นสูตรพิเศษเฉพาะ และน้ำมันต้องนำเข้ามา จากเดิมที่มาทางเรือใช้ระยะเวลาประมาณเดือนครึ่ง ตอนนี้สั่งมาทางเครื่องบิน เพราะสินค้าขายดี ถ้าส่งมาทางเรือคงไม่ทันขาย ทำให้ค่าขนส่งแพงมาก ทีมงานวิศวกรก็ต้องมาจากเมืองนอก ช่างเทคนิคของเราก็ต้องไปเรียนรู้จากเมืองนอก แล้วยังมี Operation Manager จากต่างประเทศควบคุมอยู่ด้วย ยกเว้นคนที่เป็นคนไทย ตุ๊กเองก็ต้องไปเข้าคอร์ส 1 เดือนเต็มๆ ไม่อยากไปไกลเลยเลือกที่ฟิลิปปินส์

อีกนานเท่าไรจะถึงจุดคุ้มทุนตามที่ประเมินไว้

ตอนนี้กำลังบวกลบกำไร จากเดิมที่ตั้งราคาไว้ 27 บาทต่อชิ้น ซึ่งเราคาดว่าผู้บริโภคจะซื้อแค่คนละชิ้น แต่พฤติกรรมตอนนี้ซื้อยกโหล ราคาขายเฉลี่ยต่อชิ้นแค่ 20 บาท ทำให้กำไรหายไปถึง 7บาทต่อชิ้น ทำให้ต้องเปลี่ยนจุดคุ้มทุนใหม่แน่นอน

เดิมจุดคุ้มทุนเดิมวางไว้ที่ 5 ปี เพราะเราไม่ได้หยุดที่สาขาเดียว ต้องเอาเงินมาลงทุนต่อที่สาขาสอง ซึ่งแต่ละสาขาก็ลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งเราคงปรับราคาขึ้นไม่ได้ แต่อาจต้องลดต้นทุนตรงจุดอื่นแทน

ถ้าไม่ใช่เพราะอุษณีย์ มหากิจศิริ Krispy Kreme จะดังขนาดนี้หรือเปล่า

ไม่ใช่เพราะตุ๊กหรอก เป็นความน่ารักของคนไทยมากกว่า ปัจจัยที่ประสบความสำเร็จ เพราะสินค้าขายได้ด้วยตัวเองได้ กินครั้งหนึ่งแล้วอยากกินต่ออีก ถ้าขายอะไรที่เรากินแล้วไม่อยากกินอีกก็อย่าขายเลย และแบรนด์นี้เป็นตำนานของโลก อยู่มา 70 กว่าปีแล้ว ตัวแบรนด์ก็ขายตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ Magic

มีคนวิเคราะห์ว่า Krispy Kreme น่าจะจบไม่ต่างจากโรตีบอย

Krispy Kreme ไม่ได้ดังขนาดนั้น ตอนนั้นโรตีบอยดังมากนะ ดังทั่วประเทศ และก่อนที่จะมีโรตีบอย ไม่เคยมี Coffee Bun มาก่อน แต่โรตีบอยเข้ามาแนะนำให้เป็นที่รู้จัก เรียกกระแส

ก่อนที่ Krispy Kreme จะเข้ามา คนไทยก็รู้จักโดนัทอยู่แล้ว อัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ 10% มูลค่าตลาด 2,000 ล้านบาท มันไม่ใช่ตลาดเพิ่งเกิดเมื่อวาน คือ Krispy Kreme เข้ามาเหมือนเป็นน้องใหม่ในไทย แต่เป็นแบรนด์ระดับโลก ซึ่งมีตลาดและความต้องการรองรับอยู่แล้ว

หากบินไปเกาหลี บินไปอังกฤษ บินไปอเมริกา ทุกคนรู้จัก Krispy Kreme แต่ไปถามคนในประเทศเหล่านี้ไม่มีใครรู้จักโรตีบอย ชื่อเสียงของแบรนด์ Krispy Kreme เป็นที่รู้จัก เป็นแบรนด์ระดับโลก

มีข้อกำหนดการตลาดสำหรับกระบวนการสร้างแบรนด์ Krispy Kreme ในช่วงเริ่มแรกอย่างไร

แคมเปญแจกฟรีให้กับคนที่มาเข้าแถว 100 คนแรกในทุกสาขาที่เปิดร้าน คือข้อกำหนดทางการตลาดเดียวของ Krispy Kreme กิจกรรมการตลาดอื่นๆ เราก็มาตีความจากความเชื่อของแบรนด์ ที่ต้องการสร้าง Magic Moment เราก็เลยนำโดนัทไปแจกตามออฟฟิศ และสื่อมวลชนในช่วงก่อนเปิดตัว

เราไม่ต้องใช้สีสันอะไรใดๆ ในการพบสื่อ ไม่ต้องมีพริตตี้ หรือแมสคอต เพราะตัวสินค้าขายได้ แต่ที่ไม่เห็นการโฆษณาผ่านช่องทาง Above the line เป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่สูง เพราะเท่านี้ต้นทุนเราก็สูงมากอยู่แล้ว หนึ่งนาทีในทีวีนี่แพงมาก

คนเข้าแถวซื้อมาจากกระแสหรือเปล่า

ในช่วงเริ่มต้น ลูกค้าจะเป็นคนรู้จักแบรนด์ดีอยู่แล้ว อย่างคนแรกที่มาต่อแถว Krispy Kreme เขาเป็นอดีตนักเรียนอังกฤษ ได้คุยกับเขา ก็บอกว่า เคยไปต่อที่เมืองนอกมาแล้ว เตรียมน้ำและอาหารมาพร้อม

ผ่านไปสักประมาณ 2 อาทิตย์ ก็จะมีคนที่ไม่เคยรู้จักแต่เห็นจากสื่อ และ Repeat Customer ประมาณ 40-50% และช่วงนี้ก็จะมีคนที่ซื้อไปขายต่อ ซึ่งตุ๊กเจอกับตัวเอง เดินไปที่ร้าน มีคนเข้ามาจีบ บอกว่า จะยืนต่อคิวให้แทน แต่คิด 200 บาท ซึ่งตรงนี้เราทำอะไรไม่ได้ เพราะเราต้องขายให้กับลูกค้าทุกคน แต่เราก็ขอร้องว่า อย่าไปขายต่อ เพราะเราไม่สามารถรับรองคุณภาพสินค้าตรงนั้นได้ มีป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วบอกกับเรา หนูๆ ป้าขอบใจนะ ป้าได้เงินจากโดนัทหนู 600 บาทต่อวัน ป้าต่อวันละ 3 หน ครั้งละ 200บาท

ช่วงหลังๆ เลยไม่ค่อยได้ไปที่ร้าน อดใจอ่อนไม่ได้ เวลามีคนมาขอลัดคิวไปขาย มีป้าคนหนึ่งแกมาบอกว่าขอซื้อ 10 กล่อง ขาเจ็บยืนไม่ไหว กลับกลายเป็นว่า ความสงสารทำให้เราถูกหลอก แกเอาไปขายต่อ

แถว Krispy Kreme จะยาวอีกนานแค่ไหน

ทุกประเทศมีต่อแถวหมด แต่ในไทยตุ๊กไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้ เกินความคาดหมาย ยอมรับว่าดีใจ ซาบซึ้งใจ และเกรงใจพวกเขา อยากจะดูแลทุกคนให้ดีกว่านี้ ทำเต็มสองมือแล้ว แต่เครื่องผลิตเร็วกว่านี้ไม่ได้ วันหนึ่งผลิตได้ 2,000 กว่าโหล เต็มกำลังการผลิต ถ้าขายไม่จำกัด โดนัทก็หมดเร็ว เราก็ปิดร้านเร็ว ทางห้างเขาก็ไม่ยอม เพราะคนก็คิดว่าห้างปิด เราก็เลยต้องจำกัดจำนวนให้ซื้อที่คนละ 2 กล่อง

ทุกวันนี้ ตัวเองก็ทานแบบวันละประมาณชิ้นหนึ่ง ต้องเอาใจลูกค้าก่อนตัวเอง

รับมืออย่างไรหากแถวของ Krispy Kreme เริ่มหายไป

แน่นอน แถวต้องหายไปสักวัน สำหรับส่วนตัว ตั้งแต่กิน Krispy Kreme วันแรกกราฟความพอใจไม่ได้ลดน้อยถอยลงจนกระทั่งวันนี้ ตุ๊กไม่แน่ใจว่าคนที่ต่อแถวมาเพราะพอใจในคุณภาพสินค้า หรือมากินเพราะเป็นกระแส แต่นี่ก็เดือนกว่าแล้วนะ ถ้าสินค้าไม่อร่อยจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้

สาขาที่สองคาดหวังกระแสแบบที่เกิดกับสาขาแรกหรือไม่

ทำธุรกิจอย่าไปยึดว่า การที่มีแถวยาวๆ แล้วประสบความสำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับความอร่อย วันหนึ่งมีคุณป้าเดินมาบอกกับตุ๊กว่า มาต่อแถวซื้อให้ลูก เพราะลูกสอบได้ที่หนึ่ง ซึ่งสิ่งที่เขาขอคือ Krispy Kreme ตรงนี้ต่างหากที่เรียกว่าความสำเร็จ

บางคนบอก Krispy Kreme หวานมาก กระแสสุขภาพก็เริ่มมา เราจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร

เราทำสินค้าชิ้นหนึ่งเพื่อให้ผู้บริโภคอายุ 1 ขวบจนกระทั่ง 90 ปี เราไม่สามารถทำหวานออกมาให้ทุกคนกินแล้วประทับใจเท่ากันได้ แต่สูตรที่เลือกมาเป็นสูตรหวานกลมกล่อม ซึ่งถ้าสำหรับคนที่คิดว่าหวานไป ให้ขูดน้ำตาลออก ส่วนน้ำมันที่ใช้เป็น 0% Transfat ซึ่งทาน Krispy Kreme บวกกับกาแฟเย็นหนึ่งแก้ว ยังมีแคลอรีต่ำกว่าทานข้าวต้มหมูในตอนเช้า หรือผัดซีอิ๊วในตอนเย็นอีก

ประเมินยอดขายในปีหน้าไว้อย่างไร

ปีนี้ได้ส่วนแบ่ง 1% จากมูลค่าตลาด 2,000 ล้านบาท ก็ดีใจแล้ว น้องใหม่ไม่อยากกดดันตัวเอง แต่ปีหน้าขอประมาณ 5% ซึ่งคู่แข่งก็มาขอบคุณตุ๊ก เพราะทำให้ยอดขายเขาดีขึ้น คนรอต่อแถวไม่ไหวก็ไปซื้อโดนัทแบรนด์อื่นแทน เราเป็นน้องใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปแย่งของพี่คนเดิม แต่เรามาช่วยขยายฐานลูกค้า

รอไม่ไหว...มีคนจัดพรีออเดอร์ให้

Krispy Kreme ยาวจนต้องจ้าง
สุรัชฏา สว่างเนตร Positioning Magazine พฤศจิกายน 2553 
Krispy Kreme ยาวจนต้องจ้าง
เกือบสองเดือนแล้วที่ Krispy Kreme เปิดขายบริเวณชั้น G ศูนย์การค้าสยามพารากอน แต่จำนวนคนที่มาเข้าแถวเพื่อซื้อโดนัท Krispy Kreme ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

แถวอาจไม่ยาวเท่าวันแรก ที่มีโปรโมชั่นกินฟรีตั้งแต่ 1 เดือนจนถึง 1 ปีมาเป็นรางวัลล่อใจ

แต่ก็ยาวพอที่จะกลายเป็น Talk of the town อย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้ยังต้องใช้ระยะเวลารอไม่ต่ำกว่า 2-3 ชั่วโมง และยังจำกัดจำนวนการซื้อเพียงคนละ 2 กล่องเท่านั้น

แถวยาวของ Krispy Kreme จึงก่อให้เกิดอาชีพรับจ้างต่อแถว จากแม่ค้า และบรรดาวินมอเตอร์ไซค์ที่เลิกอาชีพขับรถรับจ้างชั่วคราว มาเข้าคิวต่อแถวตั้งแต่เช้ามืด เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ ก่อนกลับมาวนต่อคิวตอนบ่ายอีกหนึ่งรอบ โดยราคาขายต่อกล่องถีบจากเดิมสูงมาก ที่ถ้าซื้อจากร้านแบบ Original Glazed หนึ่งกล่อง 12 ชิ้นอยู่ที่ 249 บาท ส่วนถ้าเพิ่มหน้า หรือ Assorted อยู่ที่ 315 บาท ก็จะบวกเพิ่มไปไม่ต่ำกว่า 200 – 300 บาท

จากการสังเกตการณ์พบว่า ธุรกิจการนำโดนัท Krispy Kreme ไปขายต่อเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวนับตั้งแต่อาทิตย์แรกที่ร้านเปิดจำหน่าย ผู้ทำธุรกิจนี้บอกว่า ตอนนี้มีมากถึง 5 เจ้า ที่รับออเดอร์แล้วซื้อตามจำนวนโดยบวกราคาเพิ่มขึ้น เดินเร่ขาย

สำหรับลูกค้ากระเป๋าหนักที่อยากซื้อแต่ไม่อยากเสียเวลารอ จะมีวินมอเตอร์ไซค์มาคอยรับออเดอร์เพื่อเปิดการขายโดยไว โดยขั้นตอนซื้อขายกินระยะเวลาไม่เกิน 3 นาที

วินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเริ่มธุรกิจนี้จากเดิมรับออเดอร์จากเจ้านายให้มาซื้อ พอมีคนอยากซื้อเยอะก็เลยผันตัวเองเป็นคนรับจัดออเดอร์ พร้อมจัดหาเด็กมายืนต่อคิว ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ตอนนี้กลุ่มแรกที่มายืนรอเพื่อซื้อไปขายต่อ เริ่มเข้าคิวตั้งแต่ตี 1 โดยจะให้เงินค่ายืนกับเด็กยืนในจำนวน 200 บาทต่อเที่ยว ช่วงปิดเทอมหาเด็กมายืนได้ไม่ยาก เข้าคิววันละ 2 รอบ เช้าและบ่าย ซึ่งเด็กจะมีรายได้รวมประมาณอาทิตย์ละ 3,000 บาทต่อคน

แต่ละวันจะมีออเดอร์เข้ามามากกว่า 100 กล่องต่อวัน ลูกค้าที่สั่งสูงสุดต่อหนึ่งออเดอร์ คือ 50 กล่อง เพื่อนำไปงานเลี้ยงต่างจังหวัด

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อ BlackBerry เสื่อมมนต์ขลัง !?!

เสน่ห์ของ BlackBerry หรือ BB ที่หลายคนหลงใหลจนถึงขั้นเรียกว่าใกล้เสพติด หนีไม่พ้นระบบแชต (Chat) หรือ BlackBerry Messenger (BBM) ที่ทำให้ชื่อเสียงของ BB โดดเด่นอยู่แถวหน้า รวมทั้งกลยุทธ์ของเหล่าโอเปอเรเตอร์มือถือที่ใช้ BBM เป็นจุดขาย แพร่กระจายลงตลาดแมส หรือกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป หลังจาก BB โด่งดังในเรื่องการใช้งานสื่อสารเมลในองค์กร      
       เมื่อ BB หันมาลงเล่นตลาดแมส ผู้ผลิตมือถือค่ายต่างๆ ก็อยู่นิ่งไม่ไหว ต่างพัฒนาแอปพลิเคชั่น ในเรื่องการแชตโดยหวังมาเป็นคู่แข่ง BBM รวมทั้งโอเปอเรเตอร์มือถือ ที่อัดแพกเกจจูงใจระบบแชตของมือถือหลากยี่ห้อในตลาด
      
       เมื่อ BBM ถูกท้าทายด้วยแอปฯ ระบบแชต ที่ถึงแม้อาจไม่ใช่แฟนแต่ก็ทำแทนกันได้ มนต์ขลังของ BB อาจเริ่มเสื่อมลงแล้ว สัญญาญร้ายของ BB เริ่มส่อแวว เมื่อรายงานผลการสำรวจของบริษัทวิจัยตลาดหลายสำนักต่างรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า แอนดรอยด์กับไอโฟนจะเป็น 2 สมาร์ทโฟนที่มาแรง ขณะที่ BB อาการน่าเป็นห่วงมียอดขายเติบโตลดลง
      
       แถมยังมีข่าวออกมาจากบริษัท รีเสิร์ชอินโมชัน หรือที่เรียกกันติดปากว่า 'ริม' เตรียมที่จะเลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 2,000 ตำแหน่ง หรือประมาณ 10.5% ของพนักงานทั้งหมด และยังจะมีการปรับโครงสร้างบริษัทอีกด้วย ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อแผนการเปิดสำนักงานสาขาในประเทศไทยที่วางแผนไว้ว่าจะเปิดดำเนินการภายในปีนี้
      
       อะไรที่เป็นเหตุให้ BB ไม่ได้กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่วัยรุ่นยุคใหม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่มาซื้อหาเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของอีกต่อไป
      
       ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากตัวเลือกในตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่วางขายในปัจจุบัน และอนาคตต่างมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า มีฟีเจอร์ที่ล้ำกว่า ขณะที่ BB กลับมีปัญหาในการพัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด ทำให้เกิดช่องว่างในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นานเกินไป ความต้องการของ BB จึงไม่คึกคักเหมือนเดิม
      
       ช่วงที่ BB ฮิตติดลมบน มีการวางจำหน่าย BB หลากรุ่นและหลายราคา เรียกได้ว่า มีตั้งแต่ราคาไม่ถึงหมื่นไปจนถึง 2หมื่นต้นๆ แต่ก็ใช้เครื่องเหล่านั้นในการทำตลาดตลอดช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำเข้าเครื่องรุ่นใหม่ เนื่องจากอยู่ในช่วงพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ 'BB OS 7' ที่จะมาดึงกระแสแมสให้หันกลับไปมอง BB อีกครั้ง
      
       จุดเด่นสำคัญของ BB อยู่ตรงที่บริการ 'พุชเมล' ที่ออกแบบมาสำหรับให้นักธุรกิจ และมีบริการแชตในกลุ่มสังคมที่ใช้งาน BB ของตนเองไม่เกี่ยวกับใคร โดยไม่ต้องทำงาน เล่นและใช้งานบนคอมพิวเตอร์เหมือนในอดีต ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้เกิดขึ้นในโลกของสมาร์ทโฟน
      
       และด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกตาไม่เหมือนใคร ที่ช่วยดึงดูดความน่าใช้ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีฟีเจอร์ที่แตกต่าง และโดดเด่นกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ส่งผลให้ BB ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในขณะนั้น
      
       ***Push Mail ใครๆ ก็ทำได้
      
       ริม เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตเพจเจอร์ที่คิดค้นวิธีพิมพ์รับ-ส่งข้อความหากัน และความสามารถดังกล่าวถูกพัฒนาให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้นผ่านคีย์บอร์ดบนโทรศัพท์มือถือ ที่มีความคล้ายคลึงกับคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ที่เรียกกันแบบติดปากว่า QWERTY โดยเริ่มต้นไลน์การผลิตในปี 2542 ในลักษณะเป็นเพจเจอร์สองทาง และต่อมาในปี 2545 ถึงมีการผลิตในรูปแบบของสมาร์ทโฟนเหมือนในปัจจุบัน
      
       จากการนำเทคโนโลยี QWERTY มาใช้บนสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์ BB ส่งผลให้ BB กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถใช้การส่งเมลได้ง่ายกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่คุ้ยเคยกับการพิมพ์ SMS โดยใช้แป้นพิมพ์ตัวหนังสือบนมือถือ เหมือนได้พบกับอะไรที่คุ้นเคยกันมานาน
      
       ที่เหนือไปกว่านั้น คือ การนำเทคโนโลยี 'พุช เมล' (Push Mail) ที่สามารถรับส่งข้อความอีเมลได้แบบเรียลไทม์ สนองความต้องการในตลาดองค์กร ที่สามารถสื่อสารกับพนักงานทั้งหมดได้โดยการส่งอีเมลเพียงครั้งเดียว โดยลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ไว้ที่บริษัท พร้อมกับการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อรักษาความปลอดภัย ทำให้อีเมลของ BB มีความปลอดภัยสูงมาก ดังนั้นปัญหาเรื่องการถูกแฮกในระบบจึงทำได้ยาก
      
       แต่ความยิ่งใหญ่ของ BB อาจจะดูสั้นยิ่งนัก เมื่อระบบปฏิบัติการ 'แอนดรอยด์' ที่พัฒนาโดย 'กูเกิล' ยักษ์ใหญ่วงการเสิร์ชเอนจิ้น ได้ขึ้นมาท้าชิงพุช เมล โดยมีการพัฒนาแอปฯ ด้านอีเมลอย่าง จีเมล (Gmail) ที่ถอดแบบความสามารถทั้งหมดที่มีในเว็บเมลลงสู่สมาร์ทโฟนสายพันธุ์แอนดรอยด์ทุกรุ่น ส่งผลให้มีฟีเจอร์ในการใช้งานที่หลากหลายไม่แพ้กับระบบเมลของ BB ด้วยอินเตอร์เฟสเรียบง่าย แต่น่าใช้งาน
      
       หรือแม้แต่ใน 'ไอโอเอส' ของแอปเปิลที่มีการนำมาใช้ในไอโฟน ก็มีการพัฒนาระบบรับ-ส่ง อีเมลที่สามารถเลือกระยะเวลาในการซิงค์ข้อมูลได้เอง ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึงอีเมลแบบทันที ก็สามารถเลือกความถี่ในการซิงค์ข้อมูลให้มากขึ้น แต่ถ้าไม่ต้องการเข้าถึงอีเมลตลอดเวลา ก็สามารถเลือกซิงค์เฉพาะเวลาที่ต้องการได้
      
       บวกกับความเร็วในการรับส่งเมลผ่านพุช เมลที่เคยเป็นจุดเด่นและแตกต่างระหว่าง BB กับ สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้แทบไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับความสามารถของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ดังนั้นจุดแข็งด้านอีเมลของ BB อาจจะใกล้เข้าสู่จุดอิ่มตัวในเร็ววันนี้ เพราะตลาดสมาร์ทโฟนเกิดใหม่กำลังถูกยึดครองโดยไอโฟน และแอนดรอยด์
       
       ในเมื่อพื้นที่การตลาดของ BB กำลังถูกบีบให้เหลือในวงจำกัด การที่จะชูจุดขายด้วยระบบพุชเมลแบบเดิม ที่จะได้ส่งเสียงเตือนทุกครั้งที่มีข้อความเข้ามาทุกที่ทุกเวลาตราบเท่าที่ยังเปิดเครื่องอยู่ ซึ่งอาจจะเกิดอารมณ์รำคาญระบบพุช เมลของ BB ได้ในบางเวลาสำหรับผู้ใช้งานทั่วๆ ไป จนอาจเลือกที่จะหันไปใช้ระบบปฏิบัติการอื่นๆ ในตลาดแทน แต่สำหรับนักธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องอีเมลมากๆ เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับได้
      
       ***BBM อ่อนแรง ?
      
       อีกสิ่งที่ทำให้ BB ได้รับความนิยม และตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลกนั่นคือ ระบบแชต ที่เรียกว่า BBM ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การแชทได้รวดเร็วทันใจ ผ่าน PIN ที่เป็นเสมือนชื่อที่ใช้ในการติดต่อ ที่สำคัญผู้ใช้สามารถแชตกับเพื่อนในรายชื่อได้ แม้จะปิดเครื่องอยู่ก็ตาม และทันทีที่เพื่อนเปิดเครื่องก็จะได้รับข้อความเตือนเหมือนมีอีเมลถูกส่งเข้ามา ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะผู้ใช้ BB เท่านั้น
      
       เรื่องนี้ถือว่า 'โดน' ใจขาแชตบนคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็น MSN, ICQ ฯลฯ ที่ต้องการปลดพันธนาการตัวเองจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้สามารถแชตที่ไหนก็ได้บนสมาร์ทโฟน บวกกับกระแสฟีเวอร์ ดาราดังในฮอลลีวูด ศิลปินนักร้อง แม้กระทั่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 'โอบาม่า' ต่างก็มีพินของ BB ทำให้ BBM ดังเป็นพลุเพียงชั่วข้ามคืน จนเกิดกระแสใครไม่มี BB ถือว่า 'เอาท์'
      
       แต่หากมองในมุมกลับ จากจุดแข็ง BBM ผ่าน PIN ที่ผูกกับตัวเครื่อง ทำให้มันกลายเป็นจุดบอดในการใช้งานติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการอื่นในตลาดที่มีคนใช้งานมากกว่า จนสูญเสียส่วนแบ่งให้กับโปรแกรมแแชตข้ามแพลตฟอร์ม ที่มาแรงในตลาดอย่าง WhatsApp, Paringo หรือ MSN ที่มีรูปแบบและลักษณะการใช้งานไม่แตกต่างจากระบบแชตของ BB เท่าไรนัก
      
       อย่างกรณี WhatsApp ได้กลายเป็นแอปฯ ที่ถูกจับตามองทันทีที่มีการเปิดตัวครั้งแรกในระบบปฏิบัติการไอโอเอส เมื่อผู้พัฒนาอย่าง WhatsApp Inc. สร้างความแตกต่างและฉีกกฎการแชตแบบที่คุ้นเคยบน BBM ด้วยการใช้งานที่สามารถคุยกันได้ทั้งในไอโอเอส แอนดรอยด์ BB และซิมเบียน
      
       สิ่งที่ WhatsApp โชว์เหนือกว่า BBM คือ ไม่จำเป็นต้องใช้ PIN ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ BB แต่ Whatsapp กลับเลือกใช้สิ่งที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกคนต้องมี นั่นคือหมายเลขโทรศัพท์ แสดงให้เห็นว่าขอเพียงแค่ผู้ใช้งานมีหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลที่ต้องการจะติดต่อ ก็จะสามารถใช้บริการนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องไปเสียเวลาเพิ่มผู้ติดต่อโดยการขอ PIN ให้ยุ่งยาก และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ รวมถึงในไทยที่เริ่มมีกระแสการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับได้บริการโดนใจในหมู่พ้องเพื่อนขาแชตทั้งหลาย
      
       แน่นอนว่า รูปแบบของบริการในแอปฯ เหล่านี้ อาจจะไม่สามารถฆ่าหรือแสดงความเหนือกว่า BB ได้อย่างชัดเจน แต่ภาพที่ออกมา คือ บริการที่ BB ทำได้ มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ และยิ่งเป็นการเป็นการเปิดช่องว่างให้แก่ผู้ใช้ว่าถ้าหากต้องการจะแชต จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องเลือกซื้อ BB ในเมื่อฟีเจอร์อื่นๆ ของ BB ไม่ได้เหนือกว่า
      
       แถมยังกลายเป็นจุดอ่อนที่ BB ยังไม่มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล้องดิจิตอลที่มีคุณภาพไม่ต่างจากมือถือราคาถูกหลักพันกว่าบาท ปัญหาเรื่องของระบบปฏิบัติการที่ชอบค้าง วิธีแก้คือต้องถอดฝาหลังพร้อมกับดึงแบตเตอรี่ออกจากเครื่องถึงจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้เอง แต่ไม่สมกับราคาที่จ่ายไปหลักหมื่น
      
       ***แอปฯ จำกัด
      
       แอปพลิเคชัน เป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบริการอย่าง BBM จากรูปแบบการป้อนข้อมูลที่หลากหลายทั้งระบบคีย์บอร์ด หรือ ทัชสกรีนในบางรุ่น ทำให้นักพัฒนามองไม่เห็นถึงจุดคุ้มในการพัฒนาแอปฯ ให้รองรับการป้อนข้อมูลทุกรูปแบบ ซึ่งจากข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ปริมาณแอปฯ ที่มีใน BB จึงต่ำกว่ารายอื่นในตลาด
      
       ขณะที่แนวโน้มสมาร์ทโฟนทั้งไอโฟนและแอนดรอยด์มีความชัดเจนแล้วว่า จะไปทางเทคโนโลยีทัชสกรีน ซึ่งน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่อาจจะชี้เป็นชี้ตาย BBM เลยทีเดียว หากตัดใจทิ้งแป้นพิมพ์ QWERTY ที่เป็นจุดเด่นของแบล็กเบอรี่ไป
      
       สิ่งที่ต้องรอดูกันต่อไปคือ ระบบปฏิบัติการ BB OS 7 ซึ่งมีเค้าว่าจะเปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิติบัติการที่พัฒนาขึ้นมาจากลินุกซ์ ในชื่อ QNX เช่นเดียวกับใน เพลย์บุ๊กแท็บเล็ตจากค่ายเดียวกัน ที่ได้รับคำชมในการใช้งานด้านมัลติมีเดีย ความบันเทิงเหนือกว่าแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆในตลาด และเมื่อเป็นเช่นนั้น หนทางของนักพัฒนาในการผลิตแอปฯ ให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายจะเพิ่มขึ้นตามความสามารถของระบบปฏิบัติการในที่สุด
      
       ชะตากรรมของ BB ที่ครั้งหนึ่งสุกใสด้วยบริการที่แตกต่าง กำลังถูกท้าทายจากสมาร์ทโฟนต่างค่ายและต่างระบบปฏิบัติการ เสน่ห์ของ BB เริ่มเสื่อมมนต์ขลังแล้ว หากยังไม่เร่งปรับตัว BBM อาจเป็นแค่สิ่งที่ขาแชต จดจำว่าเป็นบริการที่เคยมีในตลาดเท่านั้น
       

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นางฟ้าประจำรายการ SMEตีแตก จากคนที่เคยโมโหร้าย ติดเหล้า แล้วเธอเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร

... ความสุข คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา แต่ใช่ว่าทุกคนจะค้นพบได้ ...


     วรัตดา ภัทโรดม คือ ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และมีชื่อเสียงในแวดวงการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขในความหมายของการเป็นมนุษย์ เธอจึงพาชีวิตเดินทางไปพบ การเกิดครั้งที่สองจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 
    
     เธอได้กลายเป็นคนใหม่ที่มีความสุข กับโลก ผู้คน และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว



     สัมผัสเรื่องการเดินทางของผู้หญิงคนนี้ได้ในหนังสือ เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน
     แล้วคุณจะรู้ว่า การพาตัวเองไปสู่ความสุขที่แท้ไม่ใช่เรื่องยาก






ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะใจไปโรงเรียน


     เหมียวเดินออกมาจากห้องปฏิบัติธรรม ที่ธรรมอาภา ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดหลังจากการแผ่เมตตา วันนั้นเป็นวันแรกใน 10 วันของการปฏิบัติที่เราพูดได้ พอเดินลงบันได เจอหน้าพี่ต้อย พี่ปิ๋มปุ๊บ คำแรกที่พูดออกไปคือ เหมียวเกิดใหม่แล้วพี่ เกิดใหม่แล้วน้ำตาไหลไม่หยุด


     เหมียวคนใหม่ค่อยๆเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มีความสุขที่แท้จริงมากขึ้น โกรธน้อยลง ทุกข์น้อยลง ยิ้มมากขึ้น ฟังมากขึ้น หน้าไม่แก่เหมือนตอนเป็น “meow, the bitch”


     พวกเราส่วนมากส่งแต่สมองไปโรงเรียน (12 ปี + 4 ปี + 2 ปี) ไม่ค่อยเคยส่งจิตไปโรงเรียน
เหมียวก็เหมือนกัน เรียนหนังสือเยอะ แต่ศึกษาตัวเองและธรรมชาติของชีวิตน้อย ตอนโตขึ้นเลยหลุด หลงไปนึกว่า ถ้าตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน หาเงิน มีบ้าน มีรถ เป็นคนดี ไม่โกง ไม่ฆ่า ทำบุญวันเกิด ทำสังฆทาน ทำทาน ช่วยคน ช่วยสัตว์ แล้วจะมีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์ นึกว่าพอค่ะ หารู้ไม่ว่า มีอะไร อะไรอีกมากมายมหาศาลที่ไม่รู้ ไม่เคยฝึกหัด และสิ่งเหล่านี้สำคัญเหลือเกินสำหรับเรา ที่จะมีความสุข ความสงบมากขึ้น และทุกข์ให้น้อยลงอีกนิด โมโหให้น้อยลงอีกหน่อย

     ความรู้ที่ได้จากการเรียนวิชาต่างๆไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่มีความสุข แถมยังสาดความทุกข์ใส่คนรอบตัว ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักอีก เรื่องราวต่างๆที่เหมียวนำมาเขียนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก่อนและหลังที่ได้พบกับธรรมะ

     ถ้าไม่ได้พบกับธรรมะที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ฝึกหัดดูตัวเอง ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีปัญญา ป่านนี้คงมีแต่ความทุกข์ที่สะสมใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว นิสัยคงแย่ หน้าแก่เหี่ยวเพราะขี้โมโห


    ... ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข มีความสงบ และได้พบกับธรรมะที่บริสุทธิ์ ...


ในวันที่เปลี่ยนแปลงของผู้หญิงคนหนึ่ง
ตอนเด็กเป็นลูกคนโตที่ซน และไฮเปอร์ฯที่สุด และจะไม่ยอมทำตามกฎที่มองไม่เห็นเหตุผล

จบปริญญาโทด้านไดเรกมาร์เกตติ้งจากอเมริกา คนแรกของประเทศไทย
อายุ 25 ปี ได้เงินเดือนเป็นแสน
เงินเดือนหลัก 3 แสน ตอนอายุน้อยกว่า 30 ปี

เป็นกูรูทางด้าน CRM (Customer Relationship Management)
เป็นซีอีโอของบริษัท...

แต่อีโก้ค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกวัน จนถึงจุดที่ทำร้ายตนเองจนเมื่อปฏิบัติธรรม ก็พบทางออกของชีวิต

*****************

มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนต้องการความสุขในชีวิต
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เด็กทุกคนควรได้สัมผัส และเข้าใจตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมาดูโลก


แต่เราหลายคนยังเข้าใจว่า เวลาที่เหมาะในการเข้าหาธรรมะ
คือเวลาที่เราเข้าสู่วัยสูงอายุ..  
หรือ เมื่อเรามีความทุกข์  



ซึ่งหลายครั้งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เพราะมันทุกข์เกินหรือแก่เกินที่จะเข้าใจ  
และยอมรับในความจริงของกฎธรรมชาติเหล่านี้ได้


*****************
หัวข้อที่เธอเขียน
สิ่งที่ได้จากการเดินทาง (บางส่วน)
พระพุทธเจ้าบอกว่า
การเกิด การเลือกชีวิต เราเป็น Master ของ Future เราอาจไม่ได้เป็น Master ของอดีต  
เพราะว่ามันผ่านไปแล้ว  

แต่เราเป็น Master ของปัจจุบัน และเราเป็น Master ของอนาคตแน่ๆ



*****************

ให้ (บางส่วน)

การให้นั้น
เราต้องทำตัวเหมือนเมฆ  
ซึ่งให้ฝนกับแผ่นดิน โดยไม่เคยถามแผ่นดินเลยว่า...
ได้ฝนไปกี่เม็ด  

การให้เป็น One Way Street
เป็นการเดินทางทางเดียว  
คือ ให้ออกไปอย่างเดียว ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์จริงๆ

*****************
คนขี้โมโห (บางส่วน)

เหมียวเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่ายมาตั้งแต่วัยรุ่น
เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย

ทั้ง พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ ต่างก็บอกว่า เราโมโหแรงขึ้นทุกวันๆ  
แต่เราก็ไม่เข้าใจ
คิดแต่ว่าเรายังเหมือนเดิม

จนวันหนึ่งไปซื้อนาฬิกาที่ห้าง  
บอกคนขายว่า “ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ

คนขายไม่ฟัง เพราะมัวแต่คุยกัน
ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ
ก็ยังไม่ฟังอีก

ทีนี้เหมียวเลยขึ้นเสียงแบบดังมากๆ ว่า  ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะคนขายมองหน้า แล้วก็หยิบนาฬิกาสีเขียวมาให้



คราวนี้โกรธมากเลย  
เพราะพูด 3 ครั้งไม่ฟัง ... พอหยิบแล้วยังหยิบผิดอีก
ก็ว่าเลย คุณตาบอดสีหรือยังไง บอกให้หยิบสีฟ้า หยิบสีเขียวมาทำไม

ดุเค้าเสียงดังเพราะว่า โกรธ!

แต่วันนั้นเป็นวันที่โชคดีมาก … 
เพราะพอทำอย่างนั้นไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงตัวเอง
นึกในใจว่า.. เขาแค่หยิบนาฬิกามาผิดสี ทำไมต้องว่า ต้องโกรธเขาขนาดนั้นด้วย

พอคิดได้อย่างนั้นก็ยกมือไหว้เขาแล้วขอโทษ
ขึ้นรถได้ก็ร้องไห้เลย..  

แล้วคำพูดของคนที่เคยเตือนเราก็ประดังเข้ามา
มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วถามว่า..
คนที่เห็นในกระจกเป็นใคร ?
เราไม่รู้จัก
เหมียวคนเดิมไม่ใช่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นปัญหาใหญ่ที่สุดของเหมียว คือ เรื่องของความโกรธ

จนกระทั่งได้ปฏิบัติธรรมครั้งหนึ่ง ครั้งสอง
เหมียวจึงเข้าใจได้ว่า เพราะการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ช่วยให้เราถอนรากถอนโคนโทสะ กิเลสต่างๆ ออกไปได้  
เชื้อความโกรธมันน้อยลง พอเชื้อความโกรธ โทสะกิเลส มันน้อยลงๆ กว่าคนจะทำให้เราโกรธได้นี่ ก็ต้องทำเยอะหน่อย ต้องเอาน้ำมันสัก 
3 ตัน ราดแล้วจุดไฟเผา จึงจะเริ่มโกรธ  

ถ้าเป็นเมื่อก่อนสะกิดนิดเดียวเราก็โกรธแล้ว  
 


เพราะฉะนั้นจากที่เคยโกรธวันละ 9 ครั้ง ก็เหลือ ครั้ง
จากโกรธทีละชั่วโมงก็เหลือห้าสิบนาที ก็ยังดี


ตอนนี้เดือนหนึ่งอาจโกรธสักครั้ง อาจจะโกรธอยู่ 2 – 3 นาที


และพอเลิกขี้โมโห อาการเหนื่อยโทรม ก็ไม่มีแล้วค่ะ  
เลยได้รู้ว่าอารมณ์โกรธ มันรีดพลังจากร่างกายไปหมด เลยทำให้เราเหนื่อยง่าย


*****************  
เครื่องดับโมโห (บางส่วน)


การดับความโกรธมีหลายอย่างด้วยกัน คือต้องมีทั้งความอดทน ความเมตตา ความเข้าใจเรื่องอัตตา มีหลายๆ มุมมอง มีปัญญา และก็มีสัมมาสติ

อีกอย่างที่ต้องมี คือ การให้อภัย  
เขาทำให้เราโกรธนาทีเดียว  
แต่เราโกรธไป 3 ชั่วโมง  
เราก็ทุกข์ไป 3 ชั่วโมง

*****************



ให้อภัย ทำไมทำได้ยากเย็น (บางส่วน)
ประโยชน์ของการให้อภัยอย่างเบาะๆ เอาแค่ว่าเราสามารถตัดสินใจในการเดินไปข้างหน้า ใช้ชีวิตต่อไป และละทิ้งความเสียใจหรือความเจ็บปวดไว้ข้างหลังได้
...แค่นี้เหมียวว่าเจ๋งแล้ว...

สิ่งที่เราน่าจะทำมากกว่านั้นคือ ให้โอกาสตัวเองในการปลดปล่อยความรู้สึกทางลบออกจากใจ ให้อิสระกับตัวเอง
การให้อภัยไม่เสียอะไรเลย แถมได้สิ่งมีค่ามากกว่า คือ อิสระ  
อิสระจากความขี้โมโหทั้งปวง
อิสระจากความเครียด  
อิสระจากความทุกข์  
อิสระจากความแค้น  
อิสระจากไฟที่ไหม้ตัวเองอยู่ข้างใน  
อิสระจากความทุกข์ที่เราก่อขึ้นมาเอง  

พบความสุขที่แท้จริง  
และใจที่มีความเมตตามากขึ้นเรื่อยๆ 
    
*****
    img255/2800/k65259830od8.jpg


ขอขอบคุณและขอแสดงความนับถืออย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ สำหรับ
คุณวรัตดา ภัทโรดม
ผู้เขียนหนังสือ เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน” สำนักพิมพ์ more of life 

... ผู้เปลี่ยนชีวิตตน จนพบความสุขที่แท้ได้สำเร็จ จากการปฏิบัติธรรม ...
บางส่วนจาก : http://oath99.multiply.com/journal/item/2